กลับไปหน้าแรก
เกษตรกร จ.ตรัง ปลูก ไผ่เลี้ยงหวาน แซมสวนยาง ตัดขายได้พร้อมต้นพันธุ์และหน่อไม้ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าตัว ปัจจุบันทำเงินปีละไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท
วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว MThai ลงพื้นที่พูดคุยกับ นายประเสริฐ สมาธิ อายุ 55 ปี เกษตรกรผู้ปลูกไผ่เลี้ยงหวาน รายแรกใน จ.ตรัง อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 5 ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งใช้พื้นที่ประมาณ 8 ไร่ ปลูกต้นยางพาราควบคู่ไปกับการปลูกไผ่เลี้ยงหวานแซมระหว่างร่องสวน เพื่อหารายได้ระหว่างรอการเปิดกรีดหน้ายาง ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 7 ปีครึ่งถึง 8 ปี
โดยได้เดินทางไปศึกษาดูงานถึงประเทศเวียดนามแล้ว จึงนำกลับมาปลูกเป็นรายแรกใน จ.ตรัง เมื่อปี 2555 จำนวน 600 ต้น ปลูกเพียง 3 เดือนก็ทยอยตัดหน่อไม้ขายได้ในราคาหน่อสดกิโลกรัมละ 20 บาท ลอกเปลือกแล้วกิโลกรัมละ 30 บาท และหากต้มสุกแล้วกิโลกรัมละ 40 บาท เพียง 1 ปีสามารถขายหน่อไม้ได้นับแสนบาท
และเมื่อไผ่เลี้ยงหวานย่างเข้าสู่ปีที่ 2 ก็เริ่มตัดขายได้พร้อมต้นพันธุ์และหน่อไม้ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าตัวหรือกว่า 200,000 บาทและเพิ่มมากขึ้นในปีต่อมาปีละไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท จนสามารถส่งลูกทั้งสองคนให้เรียนจบในระดับปริญญาตรีได้อย่างสบาย
สำหรับต้นไผ่ที่มีอายุ 2 ปีมีความยาวประมาณ 2.50 -3 เมตร ขายลำละ 10 บาท ซึ่งมีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากเกษตรกรชาวสวนยางพารานิยมนำไปเป็นราวตากยางแผ่นดิบ ขณะที่โรงรมยางหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนลำไผ่ที่ใช้ตากยางแผ่น และต้องสั่งซื้อปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 ต้นจากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นโอกาสทองของเกษตรกรผู้ปลูกไผ่เลี้ยงหวานที่มียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากไผ่เลี้ยงหวานหรือไผ่รวก มีคุณสมบัติดีคือเป็นไผ่ข้อตัน ไม่กลวง แข็งแรงและทนทานกว่าไผ่ชนิดอื่น ดูแลง่าย ใบไผ่ยังเป็นปุ๋ยชั้นดีในดินได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยปลูกแล้วสามารถขายได้ทั้ง 3 ส่วนคือ ต้นพันธุ์,หน่อไม้และลำต้น
ขณะที่การยางแห่งประเทศไทยสาขาตรัง ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกแซมในสวนยางหรือปลูกทดแทน เพื่อลดพื้นที่ปลูกยางแบบชั่วคราวและแบบถาวร โดยสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวตามนโยบายลดการปลูกยางพาราของรัฐบาล ทำให้เกษตรกรกว่า 10 รายในอำเภอห้วยยอดหันมาปลูกไผ่เลี้ยงหวานกันเพิ่มมากขึ้น
ด้าน นายประเสริฐ สมาธิ กล่าวว่า ได้ปลูกไผ่เลี้ยงหวานปีแรกมีรายได้เฉพาะหน่อไม้ถึงกว่า 100,000 บาท ส่วนปีที่ 2 ซึ่งเริ่มขายได้ทั้งหน่อไม้และลำไม้ไผ่มีรายได้มากกว่า 200,000 บาท จนถึงวันนี้มีรายได้จากไม้ไผ่แล้วกว่า 500,000 บาท ข้อดีคือลำต้นขึ้นเร็ว หน่อดกมาก
ซึ่งตนเคยไปดูงานที่เวียดนามเห็นเขาปลูกตามคันนาจึงนำมาปลูกบ้าง ส่วนลูกค้ามีทั้งใน จ.ตรังและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งหากขายหน่อไม้สดกิโลกรัมละ 20 บาท ปอกเปลือกแล้วกิโลกรัมละ 30 บาท และหากต้มสุกจะขายกิโลกรัมละ 40 บาท
ขอบคุณที่มาข่าว MThai
วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว MThai ลงพื้นที่พูดคุยกับ นายประเสริฐ สมาธิ อายุ 55 ปี เกษตรกรผู้ปลูกไผ่เลี้ยงหวาน รายแรกใน จ.ตรัง อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 5 ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งใช้พื้นที่ประมาณ 8 ไร่ ปลูกต้นยางพาราควบคู่ไปกับการปลูกไผ่เลี้ยงหวานแซมระหว่างร่องสวน เพื่อหารายได้ระหว่างรอการเปิดกรีดหน้ายาง ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 7 ปีครึ่งถึง 8 ปี
และเมื่อไผ่เลี้ยงหวานย่างเข้าสู่ปีที่ 2 ก็เริ่มตัดขายได้พร้อมต้นพันธุ์และหน่อไม้ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าตัวหรือกว่า 200,000 บาทและเพิ่มมากขึ้นในปีต่อมาปีละไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท จนสามารถส่งลูกทั้งสองคนให้เรียนจบในระดับปริญญาตรีได้อย่างสบาย
สำหรับต้นไผ่ที่มีอายุ 2 ปีมีความยาวประมาณ 2.50 -3 เมตร ขายลำละ 10 บาท ซึ่งมีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากเกษตรกรชาวสวนยางพารานิยมนำไปเป็นราวตากยางแผ่นดิบ ขณะที่โรงรมยางหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนลำไผ่ที่ใช้ตากยางแผ่น และต้องสั่งซื้อปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 ต้นจากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นโอกาสทองของเกษตรกรผู้ปลูกไผ่เลี้ยงหวานที่มียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากไผ่เลี้ยงหวานหรือไผ่รวก มีคุณสมบัติดีคือเป็นไผ่ข้อตัน ไม่กลวง แข็งแรงและทนทานกว่าไผ่ชนิดอื่น ดูแลง่าย ใบไผ่ยังเป็นปุ๋ยชั้นดีในดินได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยปลูกแล้วสามารถขายได้ทั้ง 3 ส่วนคือ ต้นพันธุ์,หน่อไม้และลำต้น
ขณะที่การยางแห่งประเทศไทยสาขาตรัง ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกแซมในสวนยางหรือปลูกทดแทน เพื่อลดพื้นที่ปลูกยางแบบชั่วคราวและแบบถาวร โดยสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวตามนโยบายลดการปลูกยางพาราของรัฐบาล ทำให้เกษตรกรกว่า 10 รายในอำเภอห้วยยอดหันมาปลูกไผ่เลี้ยงหวานกันเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งตนเคยไปดูงานที่เวียดนามเห็นเขาปลูกตามคันนาจึงนำมาปลูกบ้าง ส่วนลูกค้ามีทั้งใน จ.ตรังและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งหากขายหน่อไม้สดกิโลกรัมละ 20 บาท ปอกเปลือกแล้วกิโลกรัมละ 30 บาท และหากต้มสุกจะขายกิโลกรัมละ 40 บาท
ขอบคุณที่มาข่าว MThai
 



 
 
 
 
 
 
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น